หากเวลาสตาร์ทรถยนต์แล้วมีเสียงดังแช๊กๆ 2-3 ครั้ง เครื่องถึงจะติด อาการแบบนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจเกิดจาก แบตเตอรี่รถยนต์ใกล้เสื่อมสภาพ ไม่ควรเสี่ยงไปแบตหมดกลางทาง
ปัจจุบันนี้แบตเตอรี่รถยนต์มีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์แตกต่างกันไป แต่ทุกแบรนด์จะมี 3 ประเภท
✅ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แบบดั้งเดิม
– มีราคาถูกที่สุด แบตเตอรี่ชนิดนี้มีการสูญเสียน้ำค่อนข้างสูง ต้องดูแลเรื่องการเช็คน้ำกลั่นอยู่บ่อยๆ อาจมากถึงสัปดาห์ละครั้ง หากลืมเติมน้ำกลั่นจนแบตแห้ง จะทำให้อายุการใช้งานของแบตสั้นลง แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ดูแลรถอย่างสม่ำเสมอ จุดสังเกตของแบตชนิดนี้จะมีรูเติมน้ำกลั่นโผล่ให้เห็นชัดเจน และสามารถหมุนเปิดได้ด้วยมือเปล่า
✅ แบตเตอรี่กึ่งแห้ง
– เป็นเบตเตอรี่ที่ให้ความสะดวกสบายระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเติมน้ำกลั่นอยู่บ้าง ประมาณ 6 เดือนก็ควรจะเช็คบ้างสักครั้งหนึ่ง วิธีสังเกตคือจะยังมีรูเติมน้ำกลั่นให้เห็นแต่จะเรียบราบไปกับตัวแบตเตอรี่ มีช่องให้ใส่เหรียญขันออมาได้ โดยมากน้ำจะเริ่มหมด ตอนที่แบตใกล้จะเสื่อมแล้ว
✅ แบตเตอรี่แห้ง
– สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถ แบตเตอรี่แห้ง ถือว่าเพิ่มสะดวกสบายได้มาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลยตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งจะมีการเติมน้ำกรด และชาร์จไฟ
มาให้เรียบร้อยแล้วจากโรงงาน วิธีสังเกตของแบตเตอรี่ชนิดนี้คือ จะไม่มีรูเติมน้ำกลั่นให้เห็นเลย และราคาก็จะแพงที่สุด
โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 18 เดือน หรือปีครึ่ง โดยจะสามารถสังเกตแบตเสื่อมได้จากอาการเหล่านี้
สตาร์ทติดยาก
น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าปกติ
ไฟหน้าไม่สว่างเหมือนเดิม
กระจกไฟฟ้าเลื่อนขึ้น-ลง ช้า
วิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้ยืนยาว เมื่อได้แบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่
ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ด้วยน้ำอุ่นอยู่เสมอ
ทาวาสลินที่ขั้วแบตเตอรี่ เพื่อป้องกับคราบขี้เกลือ
ไม่ปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง ควรเติมในระดับที่กำหนดไว้
//ขอบคุณข้อมูลจาก auto.mthai.com//