ปัญหาจากอะไร ❓ แอร์รถไม่เย็นมีแต่ลม 😢😢
🔺 หากพบปัญหาแอร์รถไม่เย็นมีแต่ลม มาดูกันว่าเกิดจากอะไรกันแน่ และมีวิธีแก้อย่างไร
✅ ปัญหาจากน้ำยาแอร์
ลองตรวจสอบว่าน้ำยาแอร์หมดหรือไม่ เช็กได้โดยการสตาร์ตเครื่องแล้วเปิดระบบเครื่องปรับอากาศ กดปุ่ม A/C ให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน จากนั้นส่องดูในช่องตรวจสอบน้ำยาที่อยู่ระหว่างแผงระบายความร้อนทางด้านหน้ารถ ถ้าเห็นเป็นฟองอากาศเล็กๆ สีขาวจำนวนมาก แสดงว่าน้ำยาแอร์ลดลง ต้องรีบไปเติมน้ำยา ซึ่งโดยปกติแล้วอายุการใช้งานของน้ำยาแอร์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี แต่หากเช็กแล้วพบว่าน้ำยาแอร์เป็นลักษณะใส และมีฟองอากาศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นหมายความว่ายังมีน้ำยาแอร์อยู่ อาจเป็นเพราะน้ำยาแอร์ที่ใช้ผิดประเภท หรือใช้น้ำยาปลอม ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบแอร์รถยนต์เป็นอย่างมาก หากมีการปนเปื้อนของน้ำยาปลอมเพียง 5% ก็สามารถลดประสิทธิภาพในการความเย็นลดลงผิดปกติ อีกทั้งทำให้ความดันในระบบแอร์เพิ่มขึ้นซึ่งอาจส่งผลร้าย ทำให้เกิดความเสียหายและระเบิดขึ้นได้โดยในปัจจุบันมีชุดเครื่องมือทดสอบน้ำยาแอร์ว่าเป็นของแท้หรือไม่ แต่มีราคาแพงมาก จึงไม่เป็นที่นิยม วิธีการป้องกันการน้ำยาแอร์ปลอมเบื้องต้น ให้เลือกใช้ศูนย์บริการที่น่าเชื่อถือ และตรวจเช็กจากเกจวัดแรงอัด และปริมาณความร้อนที่อยู่ในระบบ ซึ่งสามารถให้พนักงานช่วยตรวจสอบให้ดูได้ แต่ระวัง อย่าเสี่ยงตรวจสอบด้วยตัวเองโดยการจุดไฟเพื่อเช็ก เพราะน้ำยาปลอมที่มีการผสมสารไฮโดรคาร์บอนจะทำปฏิกิริยากับไฟและอาจเกิดการระเบิดได้
✅ ปัญหาจากระบบระบายความร้อน
สาเหตุมาจากการที่พัดลมระบายความร้อนหน้าแผงคอยล์ร้อนหยุดทำงาน หรือมีกำลังแรงน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการที่คราบสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ทำให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนลดต่ำลง
ส่งผลให้น้ำยาที่ส่งเข้าไปยังคอยล์เย็นมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้แอร์รถยนต์ไม่ทำงานในกรณีดังกล่าวเมื่อรถขับเคลื่อนยังคงมีลมพัดเข้ามาด้านหน้าแผงคอยล์ร้อน แต่เมื่อรถจอดนิ่ง หรือการจราจรติดขัด คอยล์จะยิ่งร้อนขึ้นจากการระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้ในห้องโดยสารจะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก และนั่นคือปัญหาที่ต้องตรวจสอบ หากพบว่าที่คอยล์ร้อนสกปรก ก็ให้ทำความสะอาด หรือถ้าพบว่าชำรุดเสียหาย ให้ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนพัดลมใหม่ทันที เพื่อให้แอร์รถยนต์ยังสามารถทำงานต่อได้ตามปกติ
✅ ปัญหาการแตกหัก หรือเสื่อมสภาพของอุปกรณ์
มีอุปกรณ์ในรถยนต์หลายส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบแอร์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่มีรูปแบบแตกต่างกันไป ทั้งการรั่วซึม การแตกหักหรือชำรุด มาดูว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้างที่หากพบปัญหาแล้วจะส่งผลต่อการทำงานของแอร์
🔹ตู้แอร์รั่วหรือข้อต่อต่างๆ เกิดการรั่วซึม :
สามารถตรวจเช็กได้ด้วยตัวเอง ด้วยการใช้สบู่หรือแชมพูผสมน้ำและตีให้เกิดฟอง จากนั้นนำไปทาตามรอยต่อต่าง ๆ หากมีแรงดันทำให้ฟองสบู่ลอยตัวขึ้นมา แสดงว่าจุดนั้นมีรอยรั่วซึม แต่หากเป็นการแตกหัก หรือรั่วซึมที่ท่อแอร์ ต้องไปทำการเปลี่ยนใหม่ทั้งเส้น ที่ร้านซ่อมแอร์โดยเฉพาะ
🔹ลูกสูบหลวม :
สามารถสังเกตได้เมื่อติดเรื่องยนต์และเปิดแอร์แล้วพบว่าแอร์ไม่เย็นหรือเย็นไม่มาก แต่เมื่อเร่งเครื่องยนต์แล้วแอร์กลับมาเย็นปกติ แสดงว่าลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวม ซึ่งจะทำให้ระดับแรงดันของน้ำยาแอร์ฉีดเข้าคอยล์เย็นมีปริมาณมีน้อย ไม่เพียงพอที่จะดูดซับความร้อนภายในห้องโดยสารได้ เมื่อพบปัญหานี้ให้แก้ไขด้วยการเปลี่ยนใหม่
🔹วาล์วและดรายเออร์อุดตัน :
หากอุปกรณ์ทั้ง 2 ชิ้นเกิดการอุดตัน จะส่งผลให้น้ำยาแอร์ส่งเข้าแผงคอยล์ได้ไม่เต็มที่ และทำให้การดูดจับความร้อนภายในรถมีประสิทธิภาพลดลง ลองสังเกตดูว่าอุณหภูมิในตัวรถไม่ค่อยเย็นหรือไม่ และมีเสียงดังจากตู้แอร์ไหม ถ้าพบปัญหาจากทั้งสองจุด ให้เปลี่ยนทั้งคู่ เพราะสองอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ทำงานคู่กัน
🔹คลัตช์คอมเพรสเซอร์ลื่น :
เมื่อชิ้นส่วนดังกล่าวมีอาการจับไม่สนิท ทำให้ปริมาณจากกระแสไฟฟ้าที่ส่งเข้ามายังคลัตช์แม่เหล็กไม่เพียงพอที่จะทำให้สามารถทำงานติดเข้ากับมูลเลย์ได้ หรือจับบ้างไม่จับบ้าง แอร์จึงเกิดการทำงานเย็นเป็นช่วงๆ จึงควรทำการตรวจเช็กในส่วนของระบบสายไฟ ชุดสวิตซ์เซ็นเซอร์ และหน้าคลัทช์ ว่าทำงานเรียบร้อย อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่
🔹สายพานหย่อน :
ลองสังเกตว่าเสียงสายพานดังขึ้นขณะที่คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานหรือไม่ หากพบว่ามีเสียงเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะสายพานคอมเพรสเซอร์หย่อนเกินไป ให้ปรับความตึงให้เหมาะสม และเช็กรอยร้าวของสายพาน หากพบจุดชำรุดหรือแตกหักให้ทำการเปลี่ยนใหม่ทันที
ลองตรวจสอบดูว่ารถยนต์ของคุณประสบปัญหาเรื่องแอร์เหล่านี้หรือไม่ ? หากพบว่ามีอาการใดอาการหนึ่ง ให้รีบทำการแก้ไขซ่อมแซมทันที เพื่ออายุการใช้งานของรถที่ยาวนานขึ้น และประสิทธิภาพในการขับขี่รถยนต์ที่ดีของคุณ 🔹🔹🔹
//ขอบคุณข้อมูลจาก chobrod.com//