118042922_2865668726997966_5457529640058625329_n

เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี พ.ร.บ.คุ้มครองไหม?

เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี พ.ร.บ.คุ้มครองไหม❓❓❓ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น รถพลิกคว่ำ ลื่นไถล ตกข้างทาง ชนเสาไฟฟ้า ชนกำแพง ฯลฯ จนเป็นเหตุให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับความเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย ทาง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ก็ยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ แต่จะให้เป็น ค่าเสียหายเบื้องต้น เท่านั้น โดยบริษัทประกันที่เราทำ พ.ร.บ. จะเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัย ภายใน 7 วันนับแต่วันที่แจ้งเรื่อง เป็นจำนวนเงินดังนี้ ⭕️ กรณีบาดเจ็บ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลตามจริง สูงสุดคนละไม่เกิน 30,000 บาท ⭕️ กรณีสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต ได้รับเงินชดเชยรายละ 35,000 บาท ⭕️ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเกิดความเสียหายทั้ง 2 กรณี จะได้เป็นเงินรวมกันไม่เกิน 65,000 บาท ทั้งนี้ รถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์คันที่ประสบอุบัติเหตุต้องมี พ.ร.บ. ด้วย หากไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ หรือ พ.ร.บ. […]

118268531_2865001980397974_7270738470416631530_o

10 วิธีดูแลรถกระบะ เพื่อยืดอายุรถให้ยาวนานขึ้น

รถกระบะจะมีความทนทานอย่างไรก็ตามหากขาดการดูแลรักษาที่ถูกต้องก็อาจทำให้มันมีสภาพและอายุการใช้งานที่สั้นกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในยุคนี้ที่รถกระบะไม่ได้มีราคาถูกอีกต่อไป จึงไม่แปลกหากเจ้าของจะอยากทะนุถนอมมันมากเป็นพิเศษซึ่งเคล็ดลับนั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด ‍ วิธีที่จะทำให้รถกระบะคันเก่งยังคงสภาพดีเหมือนใหม่และอยู่กับเราไปได้นานขึ้น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องตามระยะทางหรือเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายกำหนดไว้ในคู่มือการใช้งานประจำรถแต่ละรุ่น เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญมากเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้อยู่คู่กับรถของเราได้อย่างยาวนาน โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ทุกๆ 10,000กิโลเมตร หรือ 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและประเภทของน้ำมันเครื่องตามที่ผู้ผลิตกำหนดสำหรับรถแต่ละรุ่น หากใครที่ไม่ได้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องโดยตัวแทนศูนย์บริการควรศึกษาและใช้มาตรฐานของน้ำมันเครื่องให้ตรงตามที่กำหนดในคู่มือหรือสอบถามจากผู้ผลิตรถยนต์ได้โดยตรง สลับยางตามระยะ เพราะการหมุนของยางนั้นสำคัญมากซึ่งเรามักให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดเป็นอย่างแรกซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การสลับยางนั้นจะทำให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอเพราะโดยทั่วไปนั้นล้อหน้าจะมีการสึกหรอที่มากกว่า (ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการขับขี่ด้วย) อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการสลับยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนดจะไม่ได้ช่วยยืดอายุการใช้งานให้มากขึ้น แต่ทำให้รถมีการขับขี่ราบ เรียบมากกว่า อีกทั้งยังช่วยลดภาระการทำงานของระบบกันสะเทือนที่เกิดจากการสั่นของยางด้วย รักษาโครงสร้างยางเพื่อรักษาความสมดุลของการหมุน ขณะที่ล้อรถหมุนนั้นควรที่จะต้องมีความสมดุล เพราะยางที่สมดุลจะทำให้มีการกระจายน้ำหนักบนเพลา 2 ด้านนั้นเท่ากัน ทั้งนี้สภาพเส้นทางที่เป็นหลุมและบ่อ หรือการใช้งานแบบออฟโรดจะยิ่งทำให้ยางรถยนต์ขาดความสมดุลยิ่งขึ้น การที่ยางรถยนต์สูญเสียความสมดุลนั้นจะทำให้เกิดการสั่นขณะขับขี่บนถนน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระบบกันสะเทือนมีอายุการใช้งานที่สั้นลง รวมถึงจะต้องเปลี่ยนยางใหม่เร็วขึ้นหากมีโครงสร้างยางเสียหาย การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ การขับขี่บนเส้นทางขรุขระอย่างรุนแรงด้วยความเร็วสูงนั้นเสี่ยงที่จะทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากเดิมซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นและมีการบังคับควบคุมที่แย่ลงการตั้งศูนย์ล้อให้ถูกต้องจะช่วยยืดอายุของระบบกันสะเทือนได้อีกวิธีหนึ่งด้วย นอกจากนี้ขณะขับขี่หากรถมีอาการกินซ้ายหรือขวาอาจเกิดได้จากลมยางที่ไม่เท่ากันหรือการบรรทุกที่เทลงบนด้านใดด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้นควรตรวจเช็กลมยางให้มีแรงดันถูกต้องตามที่ผู้ผลิตกำหนดอย่างสม่ำเสมอ (กรณีที่ใช้ยางขนาดเดิมจากโรงงาน) และควรบรรทุกของอย่างระมัดระวังรวมถึงเฉลี่ยน้ำหนักให้เหมาะสม ตรวจสอบระบบไฟ อย่างน้อยเดือนละครั้งเราควรสละเวลาเพื่อตรวจเช็กรถเป็นประจำ หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ควรจะรีบดำเนินการทำการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลามมากกว่าเดิมตัวอย่างเช่น ตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่างทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารว่ายังทำงานหรือสว่างตามปกติหรือไม่ แสงไฟที่สว่างน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอาจกำลังแสดงถึงความผิดปกติของระบบไฟฟ้ารวมถึงหากมีรอยไหม้เกิดขึ้นควรรีบตรวจสอบแก้ไขเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ควรพกฟิวส์ไว้เป็นอะไหล่สำรองในยามฉุกเฉิน ตรวจสอบของเหลวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การเช็กระดับของเหลวให้อยู่ในปริมาณที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่ควรทำ อย่างแรกคือการเช็กระดับน้ำมันเครื่องโดยทั่วไปสามารถวัดหลังจากที่ดับเครื่องยนต์ (อุณหภูมิเครื่องยนต์ปกติ) 1-5 นาที (หรือตามที่คู่มือประจำรถระบุ) ถัดมาก็คือระดับน้ำหล่อเย็นสำหรับเครื่องยนต์เพื่อป้องกันการโอเวอร์ฮีทของเครื่องยนต์ […]

117904070_2864057583825747_4470563914072638784_o

กลิ่นน้ำมันโชยเข้ามาในรถ อันตรายแค่ไหน?

⛽️ ปัญหามี กลิ่นน้ำมัน ในห้องโดยสารมักเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป พูดง่ายๆ คือมักเกิดกับรถที่ผ่านสภาพการใช้งานมาพอสมควรหรือมักเกิดขึ้นกับรถเก่า อาการคือหลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์เเล้วได้ กลิ่นน้ำมัน เชื้อเพลิงที่เราเติม ไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซล โชยกลิ่นเข้ามาในห้องโดยสาร เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องรีบแก้ไข โดยสามารถตรวจสอบด้วยตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้ 1️⃣ เช็คฝาถังน้ำมันอาจปิดไม่สนิท เพราะหากปิดไม่ดีกลิ่นอาจระเหยเขามาในห้องโดยสารได้ 2️⃣ เช็คสายน้ำมันอาจมีการรั่วเกิดขึ้น หรือเกิดจากการกัดของหนู 3️⃣ มีการรั่วที่หัวฉีดน้ำมัน หรือยางรองปั้มติ๊กเสีย 4️⃣ เช็คใต้ท้องรถ อาจมีท่อทางเดินน้ำมันมีรอยน้ำมันรั่วซึมเกิดขึ้น 5️⃣ วาวล์เปิด-ปิดไอน้ำมันที่มาจากถังชาโคลอาจหลุด 6️⃣ ยกกรองอากาศออกจะสามารถตรวจเช็คได้หลายจุด เช่น วาล์วรถถังรั่ว หรือข้อต่อสายน้ำมันรั่ว ‍ ทั้งหมดนี่คือสาเหตุที่ทำให้กลิ่นน้ำมัน โชยเข้ามาในรถได้ หรืออาจมีสาเหตุอื่นๆ อีกนอกเหนือจากนี้ ทางที่ดีหากคุณได้กลิ่นน้ำมันในห้องโดยสารเมื่อไหร่ให้ฉุกคิดก่อนเลยว่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับรถคุณเเล้ว ควรรีบนำรถเข้าตรวจสอบที่อู่หรือศูนย์บริการรถยนต์ด่วน เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญงานได้ตรวจสอบเเละหากต้องเปลี่ยนอะไหล่หรืออุปกรณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องควรเปลี่ยนให้เรียบร้อย อย่าเสียดายเงินเพราะปัญหากลิ่นน้ำมันเข้าห้องโดยสารอาจบานปลายทำให้เกิดเพลิงไหม้รถคุณตามมาได้ ⚙️ //ขอบคุณข้อมูลจาก รถนิhttp://xn--y3cb.com/

NEWS-03-47

ไบโอดีเซล คืออะไร? ทำไมต้องใช้ไบโอดีเซล

⛽️ ไบโอดีเซล พลังงานทดแทนที่สามารถเอามาใช้ประโยชน์กับรถยนต์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งยังลดมลพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ไบโอดีเซล คืออะไร❓ ไบโอดีเซล เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ปาล์มน้ำมัน น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ หรือ สาหร่าย โดยผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า ทรานส์เอสเตอริฟิเคชั่น (Transesterfication) ที่เป็นการเติมแอกอฮอล์ เช่น เอทานอลหรือเมทานอล จนมาเป็นน้ำมันไบโอดีเซลบริสุทธิ์ที่มีคุณสมบัติเหมือนน้ำมันดีเซล เมื่อน้ำมันดีเซลถูกนำไปผสมกับสูตรต่าง ๆ จึงทำให้มีการแบ่งเกรดของน้ำมันไบโอดีเซล ดังนี้ ⭐️ เกรดของน้ำมันไบโอดีเซล ▫️B 100 คือ ไบโอดีเซล 100% ▫️B 20 คือ ไบโอดีเซล 20% ผสมกับ ดีเซลจากปิโตรเลียม 80% ▫️B 10 คือ ไบโอดีเซล 10% ผสมกับ ดีเซลจากปิโตรเลียม 90% ▫️B 7 คือ ไบโอดีเซล 7% […]

117969915_2862092764022229_2255588668814997658_o

เกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดา มีข้อระวังในการขับรถขึ้นเขาอย่างไร?

⛰🏔 การขับรถขึ้นเขา นอกจากจะต้องห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แล้วยังต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมทาง ระบบเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดา มีข้อควรระวังในการขับรถขึ้นเขาอย่างไร เพราะรถบางรุ่งบางยี่ห้อมีระบบเกียร์ที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ขับขี่ 🚗🚙 ⭕️ ห้ามใช้เกียร์ว่าง การขับรถบนเส้นทางลาดชัน อย่าง ขับรถขึ้น – ลงเขา ไม่ว่าคุณจะใช้ระบบเกียร์ออโต้ หรือ เกียร์ธรรมดา ก็ไม่ควรใส่เกียร์ว่างโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถยนต์ของคุณเสียการทรงตัว เมื่อยิ่งปล่อยเกียร์ว่าง รถสามารถพุ่งลงเขาได้ แถมยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นควรมีแรงฉุดจากเครื่องยนต์ในการช่วยเบรคโดยการลดเกียร์ลงครั้งละ 1 จังหวะ เพื่อช่วยความคุมรถ ⭕️ ห้ามใช้เบรคตลอดเวลา เมื่อต้องขับรถขึ้น-เขา ไม่ว่าใช้ระบบเกียร์แบบไหนก็ไม่ควรที่จะแตะเบรคบ่อย ควรทำการแตะเป็นระยะเท่านั้น และใช้เกียร์ต่ำช่วย เพราะหากคุณทำการแตะเบรดนาน อาจส่งผลให้ผ้าเบรคเกิดความร้อนและอาจไหม้ได้ ดังนั้นการเดินทางควรเช็คสภาพรถยนต์ด้วย ⭕️ ห้ามแซงทางโค้ง ไม่ว่าคุณจะขับรถบนถนนปกติ หรือขึ้น-ลงเขา ก็ไม่ควรทำการแซงโค้ง ถือว่าอันตรายอย่างมาก เพราะทางโค้งทำให้เราไม่สามารถเห็นว่ามีรถสวนมาหรือไม่ ⭕️ ห้ามเหยียบคลัทช์ ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคลัทช์มีหน้าทีเชื่อมต่อแรงฉุดจากเครื่องยนต์ เมื่อรถวิ่งหรือมีการใส่เกียร์อยู่ แรงจะไปทำการกดล้อรถ และหากมีการเหยียบคลัทช์ จะทำให้เครื่องยนต์ถูกตัดขาด และไม่สามารถเกาะถนน หากยิ่งขับบนเส้นทางที่เป็นถนนลื่นด้วยแล้ว อันตรายเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากชินกับการเบรคโดยการเหยียบคลัทช์ไปด้วย ลองมาฝึกเหยียบคลัทช์ต่อเมื่อจะเปลี่ยนเกียร์ […]

117931828_2861186040779568_3027828081716898488_o

ซื้อรถใหม่ป้ายแดง ควรตรวจสอบในส่วนใดบ้าง?

✨🚗✨คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงอยู่ใช้ไหม❓ เราจะมาแนะนำคุณกันดีกว่าว่าในวันที่ทำการรับรถ คุณควรตรวจสอบในส่วนใดที่เกี่ยวกับรถบ้าง เพื่อให้คุณได้รับรถมาขับอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหาอะไรตามมาให้ปวดหัวในภายหลัง 😓 🔻ตรวจสอบรอบตัวรถ ให้คุณลองเดินตรวจสอบดูรอบๆ ตัวคันรถอย่างละเอียดว่ามีตำหนิ หรือริ้วรอยอะไรหรือไม่ 🔻ลองเปิดปิดประตูทุกบาน และระบบล็อกว่าสามารถใช้งานได้ปกติดีไหม 🔻ลองเปิดปิดกระจกทุกบานว่าสามารถใช้งานได้ปกติดี และไม่มีรอยร้าว 🔻ตรวจดูรอยสนิมตามขอบประตู 🔻ดูที่ยางขอบประตูว่ายังติดแน่น แนบสนิทดีหรือไม่ 🔻หน้าปัดต้องไม่มีรอยขูดขีด ระบบไฟที่หน้าปัดต้องทำงานครบทุกสัญลักษณ์ 🔻ยางปัดน้ำฝนต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ ใบยางต้องไม่แข็ง 🔻ตรวจสอบเบาะนั่งทุกตำแหน่งว่ามีตำหนิอะไรหรือไม่ 🔻ลองปรับเบาะนั่งดูว่ามีอาการติดขับหรือไม่ หากเป็นเบาะไฟฟ้าต้องปรับได้นิ่งไม่มีสะดุด 🔻ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยวต้องไม่มีรอยตำหนิอะไร 🔻ตรวจดูล้อ และยางต้องมีสภาพใหม่ ไม่มีริ้วรอยหรือแตกลายงา ล้อแม็คต้องใหม่ ไม่มีรอยบิ่น 🔻ระหว่างการตรวจเช็กสภาพรถ หากพบสนิมบนจานเบรกก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะสนิมที่เกาะบนจากเบรก มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอเป็นเรื่องปกติ เพราะมันเป็นเพียงสนิมที่บริเวณผิวหน้าจากเบรกเท่านั้น ไม่ได้กินเข้าไปถึงเนื้อจานเบรก 🔻เปิดฝากระโปรงหน้าดูสภาพเครื่องยนต์ต้องใหม่ สะอาด และไม่มีรอยคราบน้ำมันต่าง ๆ 🔵 ตรวจสอบระบบการทำงานต่างๆ ของตัวรถ 🔻ลองเสียบใช้งานกุญแจ ให้ลองปลดล็อกและล็อกรถ ดูว่าสามารถใช้งานล็อกได้ปกติดีไหม 🔻ลองหมุนพวงมาลัยดู ต้องไม่มีเสียงดังเวลาเลี้ยว 🔻ยกเบรกมือ ไฟเบรกที่หน้าปัดต้องติด 🔻ลองเปิดไฟทุกดวงไม่ว่าจะเป็นไฟในห้องโดยสาร ไฟหน้า ไฟสูง […]

117393939_2860320200866152_2474668076394967471_n

จริงหรือ? รถอายุเกิน 7 ปี ต้องตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี

จริงหรือ❓❓❓ รถอายุเกิน 7 ปี ต้องตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า รถยนต์ทุกคันต้องมีการเสียภาษีประจำปี หรือที่ใครหลายคนเรียกกันว่า ต่อภาษีรถยนต์ หรือ ต่อทะเบียนรถยนต์ นั่นเอง ซึ่งรถใหม่หรือรถยนต์ป้ายแดง และรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานยังไม่ถึง 7 ปี สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้เลยผ่านช่องทางต่างๆ แต่รถที่มีอายุเกินกำหนดจะต้องทำการตรวจสภาพรถทุกครั้งก่อนที่จะเสียภาษี ซึ่งมีรถยนต์ดังต่อไปนี้ 1️⃣ รถยนต์ ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป 2️⃣ รถยนต์บรรทุก ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป 3️⃣ รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปี ขึ้นไป 4️⃣ รถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ NGV และแก๊ส LPG จะต้องนำรถเข้ามาตรวจสภาพถังก๊าซ และอุปกรณ์ ก่อนต่อภาษีรถทุกปี 🚘 จึงเป็นเรื่องจริงที่ว่า รถอายุเกิน 7 ปี ต้องตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี ทั้งนี้ก็เพราะว่ารถยนต์ที่จะนำมาใช้บนท้องถนน ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 […]

117398805_2859080554323450_6629263999464774750_n

โดนชนแล้วหนี ทำไงดี ประกันรถยนต์ชั้นไหนคุ้มครองบ้าง?

ดนชนแล้วหนี ทำไงดี ประกันรถยนต์ชั้นไหนคุ้มครองบ้าง❓❓❓ 1️⃣ เช็กว่าประกันรถยนต์ที่ทำไว้คุ้มครองกรณีนี้หรือเปล่า ก่อนอื่นลองเช็กประกันรถยนต์ที่ตัวเองทำอยู่ว่าเป็นประกันรถยนต์ประเภทใด ให้ความคุ้มครองในกรณีถูกชนแล้วหนีหรือเปล่า ดังนี้ 🔺ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันรถยนต์ที่คุ้มครองเกือบทุกกรณี รวมทั้งการเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี และการถูกชนแล้วหนีด้วย 🔺ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ในกรณีถูกชนแล้วหนี ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็คุ้มครอง แต่ต้องระบุเลขทะเบียนของคู่กรณี หรือถ้ามีกล้องหน้ารถก็จะช่วยยืนยันเหตุการณ์ได้ 🔺ประกันรถยนต์ชั้น 3+ เช่นเดียวกับ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คือต้องระบุเลขทะเบียนของคู่กรณี หรือถ้ามีกล้องหน้ารถก็จะช่วยยืนยันเหตุการณ์ได้ 2️⃣ แจ้งความ หลังจากนั้นให้รีบแจ้งความกับตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันสำหรับใช้เป็นหลักฐานแก่บริษัทประกันว่าโดนชนแล้วหนีจริงๆ โดยมีเนื้อหาระบุเหตุการณ์และสถานที่ที่ถูกชนแล้วหนีอย่างชัดเจน หากระบุเลขทะเบียนรถยนต์ของคู่กรณีได้ ก็จะมีการสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อความสะดวกต่อการเคลมประกันในขั้นตอนต่อไป 3️⃣ โทรแจ้งบริษัทประกัน ขณะที่เราแจ้งความกับตำรวจ เราสามารถโทร.แจ้งบริษัทประกันไปด้วยได้ โดยแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานที่ ถูกชนในลักษณะไหน ฯลฯ จากนั้นบริษัทจะออกใบเคลมให้ ซึ่งต้องใช้ใบแจ้งความเป็นหลักฐานประกอบด้วย แต่หากทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ เราจะต้องมีหลักฐานที่ระบุคู่กรณีได้ เช่น รถยนต์ เลขทะเบียนรถยนต์ หรือหากเราติดกล้องติดรถยนต์ก็อาจช่วยบันทึกหลักฐานขณะเกิดเหตุได้ […]

117644340_2858354084396097_1666976711581774587_o

หัวฉีดคืออะไร? ต้องล้างทำความสะอาดหรือไม่?

หัวฉีดต้องล้างหรือไม่❓ เป็นคำถามที่พบบ่อยสำหรับคนใช้รถ เพราะบางคนอาจจะเคยเจอข้อเสนอล้างหัวฉีดจากศูนย์บริการ หรือ อู่ ทำให้สงสัยว่า ต้องล้างหัวฉีดด้วยหรอ? เพราะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม และจริง ๆ แล้วการล้างหัวฉีดเหมือนเป็นการเพิ่มทางเลือกให้คนใช้รถ ที่ต้องการลดคราบสกปรกในหัวฉีด ลดเขม่าในกระบอกสูบ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มกำลัง ซึ่งจริง ๆ แล้วการล้างหัวฉีดมีความจำเป็นไหม⁉️ ⛽️หัวฉีดคืออะไร? หัวฉีดก็คือส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปยังห้องเผาไหม้เพื่อทำการจุดระเบิด ปล่อยแรงดันให้เป็นละอองฝอยไปยังห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้อย่างเต็มกำลัง💦 เมื่อหัวฉีดทำงานไปนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปทำให้หัวฉีดอุดตัน เป็นปัญหาที่พบได้กับรถเก่าเลขไมล์สูง ซึ่งสาเหตุนี่เองที่ทำให้หัวฉีดสกปรกจนไม่สามารถจ่ายน้ำมันไปยังห้องเผาไหม้ได้ ส่งผลให้เครื่องยนต์กำลังตก เร่งไม่ขึ้น ขับสะดุด ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง มิหนำซ้ำยังทำให้กินน้ำมันอีกด้วย แล้วจำเป็นต้องล้างหัวฉีดหรือไม่❓ ถ้ารถใช้งานได้ปกติ การล้างหัวฉีดอาจจะไม่จำเป็น ต้องเช็กอาการรถให้ดีหากรถกำลังตกหรือเร่งไม่ขึ้น อาจเป็นสาเหตุมาจากหัวฉีดตัน ควรล้างทำความสะอาด ทำความสะอาดหัวฉีดอย่างไร❓ หากต้องการทำความสะอาดจริง ๆ ไม่ควรถอดออกมาแล้วล้างด้วยน้ำยาปกติ เพราะความพิเศษของหัวฉีดคือต้องใช้น้ำยาล้างทำความสะอาด สำหรับหัวฉีดโดยเฉพาะ และการถอดต้องใช้ความชำนาญสูง หากไม่ชำนาญอาจทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ 💣 หากทำความสะอาดแล้วไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของรถยนต์ แนะนำให้เปลี่ยนหัวฉีดใหม่ไปเลย เพื่อให้รถกลับมามีกำลังแรงได้เหมือนเดิม //ขอบคุณข้อมูลจาก valvoline.co.th//

117156603_2857419527822886_2999570390822762045_o

ฝนตกทำให้สีรถพังจริงหรือไม่? วิธีดูแลรักษาสีรถช่วงหน้าฝน

คนมักหลีกเลี่ยงการล้างรถช่วงหน้าฝน เพราะต่างมีความคิดที่ว่าล้างไปก็เท่านั้นยังไงรถก็เปรียกอยู่ดี❗️และเพื่อเป็นการประหยัดเงินค่าล้างรถ จึงปล่อยให้น้ำฝนช่วยชำระล้างทำความสะอาด โดยหารู้ไม่ว่าคุณกำลังทำร้ายรถแบบไม่รู้ตัว ดีไม่ดีอาจเสียเงินซ่อมแซมรถที่สาหัสอีกด้วย❗️ เนื่องจากน้ำฝนได้นำพาสิ่งสกปรกที่มีส่วนทำให้รถเกิดคราบฝั่งแน่นที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งในปัจจุบันมีโรงงานอยู่เกือบทั่วประเทศที่ทำให้เกิดมลพิษ และส่งผลให้น้ำฝนมีฤทธิ์เป็นกรด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้สีรถหมนหมองไม่มีความเงางามเนื่องจากโดนกรดที่อยู่ในน้ำฝนกัดกร่อน และถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปโดยที่ไม่หมั่นดูแลรักษาความสะอาด ก็อาจทำให้สีรถพังในภายหลัง! ⚠️ ล้างรถอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไมให้เกิดคราบฝังแน่น โดยให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น รวมถึงคราบน้ำฝนให้สะอาดเอี่ยม ⚠️ ไม่ควรจอดรถตากแดดหลังจากที่ขับรถลุยฝนมาอย่างหนักหน่วง เพราะอาจทำให้เกิดคราบน้ำที่ฝังแน่น รวมถึงทำให้สีรถซีดจางได้ ⚠️ หลังจากที่ขับรถฝ่าฝนมาให้ทำความสะอาดโดยการฉีดน้ำล้าง ห้ามใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาด เพราะจะทำให้เกิดคราบ หรือรอยที่ไม่พึงประสงค์ได้ ⚠️ หลีกเลี่ยงการล้างรถช่วงเย็น เพราะอาจทำให้รถเกิดคราบสนิมจากน้ำค้างที่อยู่ตามซอกต่างๆ ⚠️ หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม่ใหญ่ หรือที่ไม่เกสร รวมถึงผล เพราะหากเกิดลมแรงอาจทำให้ต้นไม่ล้มลงทัยรถได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ดอกไม้ หรือเกสรอาจปลิวมาติดรถทำให้เกิดคราบสกปรก และสีรถด่างได้เช่นกัน ⚠️ ทำการเคลือบรถเพื่อให้สวยเงางามอยู่เสมอ อีกทั้งยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝนได้อีกด้วย และมีส่วนช่วยทำให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นอีกด้วย และอีกสิ่งที่ต้องพึงระวังคือการล้างรถที่ถูกวิธี เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดความเสียหายแก่รถของคุณได้ รวมถึงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงหูฉี่ โดยการล้างรถที่ถูกวิธี มีดังนี้ ฉีดน้ำแรงๆ เพื่อให้กำจัดคราบฝุ่น รวมถึงสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนตัวรถออกไป ห้ามใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยขนแมว แยกผ้าสำหรับการเช็ดรถในการทำความสะอาดส่วนต่างๆ โดยเช็ดจากส่วนล่างลงมา เพราะเป็นส่วนที่มีฝุ่น และคราบสกปรกเยอะที่สุด เลือกใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ในการเช็ดรถเพื่อป้องกันการเกิดรอยที่ทำให้รถเสียหาย […]